การติดตั้งฉนวนกันความร้อนทั้งบนหลังคาและใต้หลังคา

ครั้งที่ท่านเจ้าของอาคาร หรือสถาปนิกผู้ออกแบบ ก่อสร้างเลือกที่จะติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อน ให้กับหลังคาของอาคารหรือบริเวณด้านข้างของตัวอาคาร ต่างๆ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย ที่ได้รับปัญหาเกี่ยวกับหลังคาร้อนหรือผนังของอาคารร้อน ฯลฯ คำถามที่พบโดยส่วนมากและหลักใหญ่ ๆ ก็คือ
- จะใช้ฉนวนป้องกันความร้อนประเภทใด (ประเภทป้องกันความร้อน หรือประเภทสะท้อนความร้อน)
- และมีประสิทธิภาพเท่าใด จึงจะเหมาะสม (ค่าความเป็นฉนวน,และอายุการใช้งานของฉนวน)
- และจะติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อนที่ตำแหน่งใด จึงจะเหมาะสม (บนหลังคา,ใต้หล้งคา,ผนังอาคาร,ผนังพื้น)

คำถามต่างๆ เหล่านี้ทำให้เกิดแง่มุม ความคิดในการพิจารณาวิธีการเลือกใช้ฉนวนกันความร้อน เพื่อแก้ไขหลังคาร้อนหรือแก้ไขอาคารร้อน และวิธีการติดตั้งฉนวนกันความร้อน อย่างมากมาย โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนอบอ้าวในประเทศไทย นั้นเป็นภาวะอากาศทั้งร้อน และชื้นต่อเนื่องกันตลอดเกือบทั้งปี ทำให้ฉนวนป้องกันความร้อนที่จะนำมาติดตั้งทั้งที่บนหลังคา ใต้หลังคาซึ่ง เป็นพื้นที่ส่วนที่ได้รับความร้อนมากที่สุดของอาคาร จนเป็นเหตุให้หลังคาร้อน เพราะฉะนั้น ฉนวนกันความร้อนที่จะใช้กับหลังคา ผนังอาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งบริเวณของอาคาร จะต้องมีคุณสมบัติ ในการป้องกันความร้อนที่เพียงพอต่อสภาวะอากาศที่ทั้งร้อนและชื้น และจะต้องมีวิธีการติดตั้งที่จะทำให้ประสิทธิภาพของ ฉนวนป้องกันความร้อนนั้นๆ ลดอุณหภูมิหลังคาร้อนและผนังอาคารร้อนให้ได้มากที่สุดและให้คงสภาพอายุการ ใช้งานไว้ได้นานมากที่สุดด้วย

วิธีการพิจารณาเลือกใช้ "ฉนวนป้องกันความร้อน"หรือฉนวนกันความร้อน เพื่อแก้ไขหลังคาร้อนหรือแก้ไขอาคารร้อน

ฉนวนป้องกันความร้อนที่ดี ที่มีประสิทธิภาพต้องมีคุณสมบัติ ที่มีความสามารถในการต้านทานความร้อน ( Resistivity , R ) ค่าต้านทานความร้อนมาก ( R-Value ) กันความร้อนได้มาก

ค่าต้านทานความร้อนจะมีส่วนสัมพันธ์กับ ค่าการนำความร้อนแบบเป็นส่วนกลับกัน คือค่า K ( Conductivity ) การนำความร้อนที่ต่ำ สื่อการนำความร้อนที่น้อย การ ส่งผ่านความร้อนที่ช้า (U-Value, ความร้อนที่ส่งผ่านวัสดุที่ช้า ) แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ฉนวนที่ดี ควรเลือกใช้ให้ถูกกับงาน หรือให้ถูกต้องตรงกับวัตถุประสงค์ความต้องการของการใช้งานด้วย ลักษณะการถ่ายเทรังสีความร้อนบนหลังคา

พฤติกรรมของการถ่ายเทรังสีความร้อนที่เกิดขึ้นด้านบนระบบหลังคา พื้นที่ของหลังคาซึ่งเป็นพื้นที่ ที่มีระดับใกล้เคียงแนวนอนจึงมีผลทำให้ มีปริมาณการดูดซับพลังงานรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์สูงกว่าพื้นที่ในแนว ตั้ง เช่น ผนังของโรงงาน หรืออาคารจึงทำให้หลังคาร้อนและได้รับรังสีความร้อนมากกว่า ส่วนอื่นของอาคาร นอกจากนี้ หลังคายังเป็นส่วนที่อยู่บนสุดของอาคาร ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันแสงอาทิตย์ให้กับอาคารทั้งหลัง หลังคาจึงเป็นส่วนที่มีความร้อนสูงที่สุดในองค์ประกอบทั้งหมด ของอาคารทั้งหลัง และหลังคา ที่มีสีเข้ม เช่น สีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำเงินเข้ม จะดูดกลืนพลังงานความร้อน สะสมไว้จนมีอุณหภูมิที่ผิวหลังคา อาจสูงถึง 60-70 องศาทำให้หลังคาร้อนมากขึ้นและ ความร้อนซึ่งเกิดจากการแผ่รังสีของพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์มากที่สุด คือเมื่อความร้อนจากการแผ่รังสีของ ดวงอาทิตย์ (รังสีอินฟราเรด) ตกกระทบลงผิวด้านบนของหลังคา ผิวบนหลังคาซึ่งมุงด้วยวัสดุต่าง ๆจะดูดซับความร้อนส่วนหนึ่งไว้แล้ว เริ่มถ่ายเทลงสู่ผิวด้านล่างของหลังคาในลักษณะ การนำความร้อน และเมื่อผิวด้านล่างของหลังคาร้อน หากเป็นหลังคาที่ไม่มีการติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อน รังสีความร้อนหรือรังสีอินฟราเรด ก็จะถ่ายเทพลังงานความร้อนเข้าสู่ ภายในอาคารได้ (Heat Transferred) โดยสะดวกในลักษณะการแผ่รังสีความร้อน แต่เมื่อหลังคาได้มีการติดตั้ง ฉนวนป้องกันความร้อน ด้านใดด้านหนึ่งของแผ่นหลังคาแล้ว ความร้อนก็จะถูกหน่วงไว้ให้เดินทางช้าลง ทำให้ความร้อนที่หลังคาผ่านชั้นของฉนวนป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในอาคารได้ ช้าและปริมาณน้อยลงจึงเป็นเหตุให้ภาวะอากาศในห้องสบายไม่ร้อนอบอ้าว

ควรจะติดตั้งฉนวนกันความร้อนเพื่อป้องกันหลังคาร้อนหรือแก้ไขหลังคาร้อน ที่ตำแหน่งใดของหลังคา

ตำแหน่งของการติดตั้ง ฉนวนป้องกันความร้อนสำหรับหลังคาทั่วไปนั้นที่สามารถติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อนได้คือ
- ติดตั้งใต้แผ่นหลังคา
- ติดตั้งระหว่างแผ่นหลังคากับแผ่นฝ้า
- ติดตั้งโดยการวางแผ่นฉนวนป้องกันความร้อนแผ่นฝ้า
- ติดตั้งบนแผ่นหลังคา (เคลือบบนแผ่นหลังคา)

img img img img img